การตัดสินใจของ เอฟเวอร์ตัน ทีมดังแห่ง วงการฟุตบอลยุโรป ที่ประกาศแต่งตั้ง ราฟาเอล เบนิเตซ กุนซือชาวสเปน เข้ามาคุมทัพเมื่อวันที่ 30 มิถุนายานที่ผ่านมานั้น เป็นการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ที่สร้างความขัดแข้งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 143 ปีของสโมสรเลยทีเดียว
ในช่วงปี 2004-2010 เบนิเตซ เคยคุม ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นคู่แค้นตลอดกาลของ เอฟเวอร์ตัน มาแล้ว โดยพา “หงส์แดง” คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และแชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย และจากการที่เข้ามารับงานกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” นั้น ทำให้เขาเป็นเพียงโค้ชคนที่ 2 ต่อจาก วิลเลียม เอ็ดเวิร์ด บาร์เคลย์ ที่เคยคุมทั้ง 2 ทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์มาแล้วเมื่อช่วงทศวรรษ 1890
เบนิเตซ เข้ามากุมบังเหียนในถิ่น กูดิสัน ปาร์ค ต่อจาก คาร์โล อันเชลอตติ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนที่หวนกลับไปคุมทีมเก่าอย่างพลพรรค “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ในศึกลา ลีกา สเปน เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน การที่ ฟาฮัต โมชิริ ผู้บริหารสโมสร เอฟเวอร์ตัน ตัดสินใจเลือก เบนิเตซ ในครั้งนี้ มันเป็นการสร้างความขัดแย้งครั้งใหญ่ในหมู่สาวก “เอฟเวอร์โตเนี่ยน” ที่ไม่ชอบ ราฟา เป็นทุนเดิมอยู่แล้วในฐานะเคยเป็นอดีตนายใหญ่ ลิเวอร์พูล
ราฟาเอล เบนิเตซ บุคคลสำคัญของ ลิเวอร์พูล
เบนิเตซ ไม่ได้เป็นเพียงบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ในฐานะหนึ่งใน 4 ผู้จัดการทีมที่พาทีมคว้าแชมป์ยุโรปร่วมกับโค้ชอย่าง บ็อบ เพสลีย์, โจ ฟาแกน และ เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่เขายังเป็นคนที่สร้างความโกรธแค้นให้กับ เอฟเวอร์ตัน เช่นกัน
ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2007 เบนิเตซ เคยให้สัมภาษณ์ว่า เอฟเวอร์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ เดวิด มอยส์ กุนซือชาวสกอตแลนด์ เป็นเพียงสโมสรเล็กๆ หลังพา ลิเวอร์พูล เสมอกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ที่สนาม แอนฟิลด์
มันเป็นเรื่องที่ยุติธรรมที่จะบอกว่า แฟนบอล เอฟเวอร์ตัน หลายคนไม่ยอมรับในตัว เบนิเตซ แต่สำหรับ โมชิริ เขากล้าหาญพอที่จะตัดสินใจแบบนี้ และคิดว่า โค้ชวัย 61 ปี จะพาพลพรรค “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง
ทำไมต้องเป็น เบนิเตซ
โมชิริ เข้ามาครอบครอง เอฟเวอร์ตัน เมื่อปี 2016 และลงทุนไปมหาศาลทั้งในการเสริมทีม รวมถึงการปลดอดีตกุนซือคนก่อนไล่ตั้งแต่ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ, โรนัลด์ คูมัน, แซม อัลลาไดซ์, มาร์โก ซิลวา ก่อนจะจ้าง เบนิเตซ เข้ามาทำงาน
โมชิริ ทำตามความต้องการของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องของแฟนบอล เขาทำได้ทุกอย่างตามความคิดของตัวเองเช่นเดียวกับการตักสินใจครั้งล่าสุดที่เลือก เบนิเตซ เข้ามาทำงานหลังจากพิจารณาว่า อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล เป็นคนที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน เบนิเตซ ก็สร้างความประทับใจให้กับ โมชิริ อย่างมากสำหรับการพูดคุยกันในหลายๆครั้งที่ผ่านมา โดยโค้ชชาวสเปนยกตัวอย่างงานที่เขาเคยทำเมื่อปี 2012 กับ เชลซี คู่ปรับของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเขาพา “สิงโตนำเงินคราม” ที่กำลังล้มเหลวจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 และคว้าถ้วยยูโรป้า ลีก ได้อย่างยอดเยี่ยม
สำหรับ โมชิริ นั้น คูมัน และ อันเชล็อตติ เป็นโค้ชระดับบิ๊กเนม ซิลวา เป็นคนรุ่นใหม่ ส่วน อัลลาไดซ์ เข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กับ เบนิเตซ เขาคิดว่า เป็นคนที่เหมาะสมกับ เอฟเวอร์ตัน ทั้งในแง่ของประสบการณ์ และการบริหารทีม
สิ่งที่ เบนิเตซ ต้องเจอ
มันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ เบนิเตซ ต้องเผชิญกับการไม่สนับสนุนจากแฟนบอล เอฟเวอร์ตัน แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องปกติที่เคยเจอมาตลอดอาชีพ ซึ่งโค้ชชาวสเปนก็มั่นคงพอในการรับมือกับการต่อต้านจากภายนอกอยู่แล้ว
มันเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ของทั้ง โมชิริ, เบนิเตซ และ เอฟเวอร์ตัน และเมื่อเขาทำผลงานได้ดีมันก็คงออกมาเสมอตัว แต่ถ้าพาทีมออกตัวแย่ในฤดูกาลหน้านั้น อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล คงโดนโจมตีอย่างหนักแน่นอน
แต่แฟนบอล เอฟเวอร์ตัน ก็เข้าใจ และมีเหตุผลมากพอที่จะเดินหน้าเชียร์ทีมรักต่อไป ซึ่งมีสาวก “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” อีกจำนวนไม่น้อยที่เคารพ และชื่นชมฝีมือในการทำงานของ เบนิเตซ
ราฟาเอล เบนิเตซ ต้องทำอะไรกับ เอฟเวอร์ตัน
มีงานมากมายที่ เบนิเตซ ต้องทำให้กับ เอฟเวอร์ตัน ทั้งใน และนอกสนาม โดยเริ่มจากสิ่งแรกคือ เขาต้องทำงานร่วมกับ มาร์เซล แบรนดส์ ผู้อำนวยการฟุตบอล “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ในการหารือรายละเอียดเกี่ยวกับนักเตะในตำแหน่งต่าง
ในสนาม เบนิเตซ ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้กับทั้งลูกทีม และแฟนบอลหลังจากช่วงที่ผ่านมา เอฟเวอร์ตัน เล่นในถิ่นกูดิสัน ปาร์ค ได้อย่างน่าเบื่อ ส่วนผลงานนอกบ้านก็ทรงตัว และแทบไม่มีสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์
นอกจากนี้ เบนิเตซ ยังต้องเคลียร์อนาคตนักเตะที่ อันเชล็อตติ เซ็นเข้ามาอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ, อัลลัน และ อับดุลลาย ดูกูเร่ และจัดการปัญหาในแนวรุกอย่าง โดมินิก คัลเวิร์ต-เลวิน กับ ริชาร์ลิสัน ว่าจะเล่นร่วมกันอย่างไร
มันเป็นเส้นทางที่ไม่น่าเชื่อของทั้ง เบนิเตซ และ เอฟเวอร์ตัน ว่าจะลงเอยกันได้อย่างไร แต่มันเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งของพรีเมียร์ลีกในปีหน้าว่า อดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล จะพาทีมอย่าง “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ไปได้ไกลเพียงใด