เกิดอะไรขึ้นกับ มาร์คัส แรชฟอร์ด

หาก มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าทีมชาติอังกฤษของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก ต้องการแก้ไขสถานการณ์ที่ย่ำแย่ของตัวเองในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด นั้น เขาต้องรีบปรับทัศนคติ และเรียกฟอร์มเก่งกลับมาโดยเร็วที่สุด

ในเกมพักเบรกทีมชาติเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา หัวหอกวัย 24 ปี ไม่ถูก แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือ ทีมชาติอังกฤษเรียกตัวไปรับใช้พลพรรค “สิงโตคำราม” ในชุดล่าสุด ซึ่งทำความหวังของ แรชฟอร์ด ในการไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ค่อนข้างจะริบหรี่เต็มทีแล้ว

สถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนักของ มาร์คัส แรชฟอร์ด

หลังจากที่ถูกมองข้ามในการมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษในเกมกระชับมิตรกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ ไอวอรี่โคสต์ นั้น ล่าสุด แรชฟอร์ด รู้แล้วว่าตอนนี้เขาต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อกลับเข้าสู่แผนการทำทีมของ เซาธ์เกตก่อนฟุตบอลโลกจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายนนี้

ขณะเดียวกัน จากการเป็นบุคคลสำคัญในทีมชาติอังกฤษชุดที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย นั้น หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมดาวยิง “ปีศาจแดง” ก็ค่อยๆลดบทบาทของตัวเองในแนวรุก “สิงโตคำราม”

อย่างไรก็ตาม ฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ อาจจะเป็นสิ่งที่ไกลจากความคิดของ แรชฟอร์ด มากที่สุด เนื่องจากตอนนี้อาชีพค้าแข้งของเขากับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในตอนนี้นั้น ก็กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นเดียวกัน

ในเกมลีกนัดล่าสุดที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดบ้านเสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1 เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ราล์ฟ รังนิค ผู้จัดการทีมชั่วคราวชาวเยอรมันตัดสินใจให้ แรชฟอร์ด เป็นเพียงแค่ตัวสำรอง โดยเลือกทีม 11 คนแรกแบบไม่มีกองหน้าอาชีพเลยแม้แต่รายเดียว

ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หัวหอกชาวโปรตุเกสบาดเจ็บ และ เอดินสัน คาวานี่ ดาวยิงชาวอุรุกวัยไม่ฟิตพร้อมลงสนามนั้น รังนิค กลับตัดสินใจเลือก บรูโน่ แฟร์นันเดส จอมทัพเลือดฝอยทองให้ขยับขึ้นไปเล่นเป็นกองหน้าตัวหลอกหรือ False9 ส่งผลให้ แรชฟอร์ด ต้องตกเป็นตัวสำรองไปโดยปริยาย

แรชฟอร์ด ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลัง และในช่วง 35 นาทีของเขาในสนามนั้น กองหน้าชาวอังกฤษมีโอกาสบอลเพียง 14 ครั้ง และไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาส หาจังหวะยิง หรือแม้แต่เข้าสกัดคู่แข่งได้เลย

สถานการณ์ที่คล้ายกันใน “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมทช์” เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด บุกไปพ่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่สนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม 1-4 นั้น แรชฟอร์ด ได้ลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมใดๆกับเกมเลย

มาร์คัส แรชฟอร์ด

ฟอร์มตกอย่างหนัก

ฟอร์มของ แรชฟอร์ด ในฤดูกาลนี้เข้าขั้นวิกฤตอย่างหนักหลังจากเขาทำได้แค่ 4 ประตูจากการลงเล่น 20 นัดในพรีเมียร์ลีก ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วมันไม่เหมาะที่จะเป็นตัวจริงในทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ควรจะอยู่ในทีมชาติอังกฤษ

ขณะเดียวกัน ความเชื่อใจที่ รังนิก มีให้กับ แรชฟอร์ด นั้น ค่อนข้างน้อยมากเมื่อมองจากเกมล่าสุดกับ เลสเตอร์ ทั้งที่ดาวยิงวัย 24 ปี เป็นกองหน้าอาชีพคนเดียวที่ฟิตที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด เนื่องจากไม่ได้ไปเล่นทีมชาติ แต่โค้ชวัย 63 ปี กลับจับเขาไปเป็นตัวสำรอง

การตกต่ำของ แรชฟอร์ด เป็นเรื่องที่ซับซ้อน ซึ่งทั้งตัวเขาเอง และ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่มีใครตำหนิสำหรับความล้มเหลวในการเป็นผู้เล่นแบบที่เขาควรจะเป็น ขณะที่สิ่งที่หลายคนในสโมสรกังวลที่สุดก็คือ เรื่องทางทัศนคติของเขาในการเล่นฟุตบอล  

 ในช่วงเวลา 5 ฤดูกาลเต็ม ระหว่างปี 2016-2021 แรชฟอร์ด ลงเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉลี่ย 50.6 นัดต่อฤดูกาล และมีส่วนร่วมกับทีมชาติอังกฤษในศึกยูโร 2016, ฟุตบอลโลก 2018 และศึกยูโร 2020 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม 2020 แรชฟอร์ด ต้องพักยาวในช่วงที่เหลือของฤดูกาล เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่บริเวณแผ่นหลังของเขา และกลับมาลงสนามได้ในเดือนมิถุนายนหลังจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ลดลง

ขณะเดียวกัน ฤดูกาลที่แล้วเป็นฤดูกาลที่วุ่นวายที่สุดของกองหน้าชาวอังกฤษ โดยเจ้าตัวลงเล่นรวมทุกรายการไป 57 เกมให้ แมนฯ ยูไนเต็ด และจบลงด้วยการที่เขาต้องเข้ารับการผ่าตัดไหล่หลังจบการแข่งขันศึกยูโร 2020 เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่เรื้อรังมาเป็นเวลาหลายเดือน

แรชฟอร์ด กลับมาลงสนามอีกครั้งในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยไม่ได้ลงเล่นช่วงปรีซีซั่นเพื่อฟื้นฟูความฟิตเลยแม้แต่เกมเดียว และตั้งแต่นั้นมาจนถึง ณ เวลานี้ เขาก็ได้ลงเล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ไป 27 นัดรวมทุกรายการ และยิงได้เพียง 5 ประตูเท่านั้น

นอกเหนือจากฟอร์มอันย่ำแย่ของ แรชฟอร์ด แล้วนั้น สื่อมวลชนในแดนผู้ดีระบุว่า บรรดานักเตะในทีมชุดใหญ่ของ “ปีศาจแดง” หลายราย อาทิ ปอล ป็อกบา และ อองโตนี่ มาร์กซิยาล 2 ดาวเตะชาวฝรั่เศส ไม่มีความสุขมานานแล้วกับการที่สโมสรไม่มีกุนซือระดับโลกเข้ามาทำงาน

แมนฯ ยูไนเต็ด ปล่อยให้ แรชฟอร์ด ผิดหวังจากการทำงานมากเกินไป และไม่ได้จัดหาโค้ชชั้นยอดเข้ามาทำงานเพื่อทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น นอกจากนี้ แหล่งข่าวยังกล่าวด้วยว่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาสโมสรพยายามเกลี้ยกล่อมเขาให้ลดงานสังคมนอกสนามลงเพื่อกลับมามุง่มั่นกับฟุตบอล

อย่างไรก็ตาม แรชฟอร์ด ยืนยันว่า เขาจะทำงานเพื่อสังคมต่อไป และจะพยายามเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาให้ได้ ซึ่งในวัย 24 ปี เจ้าตัวน่าจะเข้าสู่ช่วงพีคสุดในอาชีพค้าแข้งของเขาแล้ว โดยช่วงทีผ่านมา เขามีฝีเท้า และสถิติการทำประตูที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว

แหล่งข่าวระบุด้วยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการให้ แรชฟอร์ด เซ็นสัญญาฉบับใหม่เพื่อขยายเวลาออกไปจากสัญญาเดิมที่จะหมดลงในปี 2024 อย่างไรก็ตาม มันยังไม่มีความคืบหน้าเนื่องจากดาวเตะวัย 24 ปี ต้องการถูกสถานการณ์ว่า กุนซือคนใหม่ของ “ปีศาจแดง” จะเป็นใคร และเขายอยู่ในแผนการทำทีมหรือไม่

ทางออกในเวลานี้ก็คือ กุนซือคนใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเข้ามาเรียกฟอร์มเก่งของ แรชฟอร์ด กลับมาให้เร็วที่สุด และช่วยให้เขากลับมาเดล่นฟุตบอลด้วยความั่นใจอีกครั้งก่อนที่สถานการณ์มันจะย่ำแย่ไปมากกว่านี้

, , , , , , ,