ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เปิดฤดูกาลมาได้เกือบ 2 เดือนแล้ว ซึ่งแต่ละทีมต่างขับเคี่ยวกันอย่างสนุก และล่าสุด วัตฟอร์ด ก็กลายเป็นทีมแรกที่ปลด กุนซือ โดยพวกเขาตะเพิด ซิสโก้ มูนยอซ โค้ชชาวสเปนที่ทำผลงานย่ำแย่ และแต่งตั้ง เคลาดิโอ รานิเอรี่ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน และเคยคุมหลายทีมใน วงการฟุตบอลต่างประเทศ เข้ามานำทัพแทน
ขณะเดียวกัน กุนซืออีกหลายๆรายที่กำลังตกอยู่ในความกดดันหลังทำผลงานไม่เข้าเป้า อาทิ โอเล่ กุนาร์ โซลชา ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, นูโน เอสปิริโต ซานโต้ ของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และ มิเกล อาร์เตต้า ของ อาร์เซน่อล
แน่นอนว่า หากบรรดาโค้ชเหล่านั้นยังไม่สามารถพาทีมพลิกฟอร์มเก่งกลับมาได้ก็อาจโดนหั่นขาเก้าอี้ในเร็วๆนี้ และนี่คือ 5 ตัวเลือกกุนซือที่ยังง่าวงานอยู่ และพร้อมจะเข้ามาเสียบตำแหน่งทันที
1. อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือ คนแรก
หลังจากพา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์กัลโช เซเรีย อา เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปีของสโมสรได้สำเร็จเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา คอนเต้ ก็ตัดสินใจแบบสุดเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศอำลาพลพรรค “งูใหญ่” หลังมีปัญหากับผู้บริหาร
นายใหญ่เลือดมะกะโรนีได้รับการยกย่องว่า เป็นกุนซือระดับท็อปของวงการลูกหนังยุโรปมานานแล้ว ซึ่งแท็คติค 3-5-2 หรือ 3-4-3 ของ คอนเต้ นั้น แข็งแกร่งอย่างมากจนพาอดีตทีมเก่าอย่าง เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วในฤดูกาล 2016-2017
โค้ชวัย 52 ปี มีฝีมือมากพอที่จะทำงานกับทุกสโมสรบนโลกนี้ และแน่นอนว่า ดีกรีความสำเร็จที่เขาสะสมมานั้น เหมาะกับสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่มากทีเดียว
2. ซีเนดีน ซีดาน
ชายผู้คว้าแชมป์มาทุกรายการกับ เรอัล มาดริด ทั้งในฐานะนักเตะ และเทรนเนอร์ ซีดาน ไม่เพียงแต่จะเคยเป็นยอดผู้เล่นระดับโลกเท่านั้น แต่ในเส้นทางผู้จัดการทีมเขาก็พา “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์มาแบบนับไม่ถ้วน
กุนซือเฟรนช์แมนเพิ่งอำลา มาดริด ไปเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาแบบสุดๆร้อนๆ และกลายเป็นหนึ่งในคนว่างงานที่เนื้อหอมที่สุดเลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตาม ซีดาน ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัดสินใจเรื่องอนาคตของเขาว่าจะไปทำงานที่ใด
ซีดาน เคยทำงานกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกชาวโปรตุเกสของ แมนฯ ยูไนเต็ด มาแล้วที่ มาดริด ซึ่งบางทีการที่ทั้งคู่จะหวนกลับมาร่วมงานกับอีกครั้งก็น่าสนใจไม่น้อย นอกจากนี้ หากเขาอยากหาความท้าทายใหม่ๆ อาร์เซน่อล และ สเปอร์ส ก็เป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว
3. โจอาคิม เลิฟ
ทีมชาติเยอรมันอาจถึงยุคถ่ายเลือดใหม่หลังจาก เลิฟ ก้าวลงจากตำแหน่งที่ดูแลมานานถึง 15 ปี โดยเทรนเนอร์วัย 61 ปี พาพลพรรค “อินทรีเหล็ก” ประสบความสำเร็จอย่างสุดยอดด้วยการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 มาแล้ว
ขณะเดียวกัน เลิฟ ยังเป็นโค้ชที่ให้โอกาสดาวรุ่งอยู่เสมอ เขาเคยมอบหมายให้นักเตะรุ่นใหม่อย่าง มานูเอล นอยเออร์, โธมัส มุลเลอร์, เมซุต โอซิล และ มัตส์ ฮุมเมิลส์ ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยอรมันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
สไตล์การคุมทีมของ เลิฟ ที่ชื่นชอบเกมรุก และเน้นดาวรุ่งมีความกระหายนั้น เหมาะกับ อาร์เซน่อล อย่างมาก ซึ่งหาก อาร์เตต้า ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนายใหญ่ “เดอะ กันเนอร์ส” ต่อไป เลิฟ ก็เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบอย่างมาก
4. แฟรงค์ แลมพาร์ด
แลมพาร์ด โดน เชลซี ไล่ออกเมื่อเดือนมกราคมปีที่ผ่านมาหลังจากทำผลงานไม่ได้ตามเป้าหมาย ก่อนที่ “สิงโตน้ำเงินคราม” จะเซ็นสัญญากับ โธทัส ทูเคิ่ล โค้ชชาวเยอรมันให้เข้ามาทำงานแทน และก็พาทีมคว้าถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเวลาต่อมา
หลายคนมองว่า แลมพาร์ด โดนไล่ออกแบบไม่ยุติธรรมนัก และน่าจะได้เวลาในการทำทีมมากกว่านี้ โดยช่วงที่ทำงานกับ เชลซี โค้ชวัย 43 ปี ทิ้งมรดกไว้ใช้ทีมมากมายด้วยการปั้นนักเตะดาวรุ่งอย่าง เมสัน เมาท์, รีส เจมส์ และ แทมมี่ อับราฮัม
แลมพาร์ด เป็นเทรนเนอร์รุ่นใหม่ไฟแรงที่มีฝีมือ และความกระหายเต็มเปี่ยม แต่บางทีเขาอาจขยับไปคุมทีมใหญ่ที่มีความกดดันมหาศาลอย่าง เชลซี เร็วเกินไป ดังนั้น การเริ่มต้นที่ทีมอย่าง นอริช ซิตี้ และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด นั้น ก็อาจทำให้เขามีเวลาได้แสดงฝีมือมากกว่าเดิม
5. ลูเซียง ฟาฟร์ กุนซือ คนสุดท้าย
อดีตผู้จัดการทีม โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตกเป็นข่าวอย่างหนักกับ คริสตัล พาเลซ ตลอดซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายดีลก็ไม่เกิดขึ้น และ พาเลซ ก็เลือก ปาทริค วิเอร่า โค้ชชาวฝรั่งเศสเข้ามาคุมทีมหลังจาก รอย ฮอดจ์สัน วางมือ
ฟาฟร์ มีประสบการณ์โชกโชนในเส้นทางอาชีพ เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัย และทำให้ทีมเล่นฟุตบอลด้วยความระเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ เขายังเป็นคนทำให้ จาดอน ซานโช่ และ จู๊ด เบลลิ่งแฮม 2 อดีตลูกศิษย์ที่ ดอร์ทมุนด์ พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
ฟาฟร์ มีโปรไฟล์ที่เหมาะกับการทำงานในพรีเมียร์ลีกอย่างมาก ซึ่งทีมที่กำลังพัฒนาสายเลือดใหม่อย่าง อาร์เซนอล, สเปอร์ส และ เซาแธมป์ตัน ก็เป็นหลายทางที่เหมาะสมกับเจ้าตัวอย่างมาก