ฆูเลน โลเปเตกี กับชีวิตใหม่ที่ เซบีย่า

สำหรับ ฆูเลน โลเปเตกี ผู้จัดการทีม เซบีย่า สโมสรดังแห่งศึก ลา ลีกา สเปน ที่จะพาทีมลงทำศึกฟุตบอลยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด จากอังกฤษ นั้น มันเป็นโอกาสที่ที่เขาจะได้แสดงฝีมือให้หลายๆคนได้เห็น

ปัจจุบัน โค้ชวัย 55 ปี พา เซบีย่า ทำผงงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการรั้งอันดับ 2 ในตารางคะแนนลา ลีกา ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โลเปเตกี ก็เกือบจะย้ายไปคุม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในอังกฤษเต็มทีแล้ว แต่สุดท้ายก็เกิดขึ้น

ขณะเดียวกัน จากผลงานที่ยอดเยี่ยมกับ เซบีย่า นั้น ทำให้ โลเปเตกี ตกเป็นข่าวลืออีกว่า ได้เป็น 1 ในตัวเต็งจะเป็นกุนซือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนต่อไป ซึ่งเจ้าตัวก็ระบุว่า การไปทำงานในแดนผู้ดีถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน

ฆูเลน โลเปเตกี กับชีวิตการทำงานในเส้นทางกุนซือ  

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการอนาคตของ และการย้ายไปทำงานในพรีเมียร์ลีกนั้น โลเปเตกี เริ่มกล่าวว่า “ในฐานะโค้ช คุณไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เหล่านี้ได้เลย คุณสามารถควบคุมงานประจำวันของคุณได้เท่านั้น

“แน่นอนว่าคุณมีความฝัน และความทะเยอทะยานของคุณ และแน่นอนว่าพรีเมียร์ลีกเป็นการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมมาก ผมมีโอกาสได้ไปทำงานพรีเมียร์ลีกในช่วงซัมเมอร์ แต่ผมตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะตอนนี้ผมอยู่ในที่ที่ผมอยากอยู่”

แต่ในความเป็นจริง ดูเหมือนเป็นเพียงเรื่องของเวลาที่เหมาะสมเท่านั้นก่อนที่ เทรนเนอร์ชาวส้ปนจะย้ายไปทำงานในอังกฤษ โดยเจ้าตัวระบุต่อว่า “เราไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะเป็นอย่างไรในอีก 1 หรือ 2 ปีข้างหน้านี้”

“แต่แน่นอนว่า ผมต้องบอกว่าพรีเมียร์ลีกเป็นเป้าหมายที่ยอดเยี่ยมสำหรับโค้ชทุกคน ผมรู้สึกว่าในอนาคตข้างหน้ามันเป็นไปได้ที่ผมจะลงเอยที่นั่น แต่สิ่งเดียวที่กังวลในตอนนี้คือปัจจุบันผมยังทำงานกับ เซบีย่า อยูj”

“ผมมีความสุขมากที่นี่ ผมมีความมุ่งมั่นอย่างมากกับสโมสรแห่งนี้ และผมไม่มีพลังงานที่จะจดจ่อกับสิ่งอื่นในขณะนี้”

หลังจากสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะอดีตกุนซือทีมชาติสเปนชุด U19, U20 และ U21 ในระหว่างปี 2010 และ 2014 โดยหลังจากนั้น เขาย้ายไปทำงานกับ เอฟซี ปอร์โต้ เป็นเวลา 2 ปี แต่ต้องทนกับช่วงเวลาที่ไม่ประสบความสำเร็จในโปรตุเกส

อย่างไรก็ตาม ประวัติของ โลเปเตกี กับสหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RSSF) ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขาที่จะเสนอให้โค้ชวัย 55 ปี เข้ามาคุมทัพ “กระทิงดุ” ชุดใหญ่ และเขาก็ทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการพาบ้านเกิดไปเล่นในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซียได้สำเร็จ

ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น แต่ดันมีข่าวออกมาว่า โลเปเตกี จะไปคุม เรอัล มาดริด หลังจบภารกิจฟุตบอลโลกกับสเปนก่อนทัวร์นาเมนท์จะเริ่มขึ้น ซึ่งทำให้เขาโดนสหพันธ์ฟุตบอลสเปนประกาศปลดจากตำแหน่งทันที

หลังอำลาทีมชาติสเปน โลเปเตกี ก็เข้าไปคุม มาดริด ทันที แต่เขาทำผลงานได้น่าผิดหวังกับ “ราชันชุดขาว” โดยพาทีมพ่ายไปถึง 6 จาก 14 เกมแรกที่คุมทีม และในเดือนตุลาคมปี 2018 หลังจากที่พาทีมพ่าย บาร์เซโลน่า 1-5 ที่สนามคัมป์ นู เขาก็โดนไล่ออก

อดีตนายใหญ่ ปอร์โต้ กล่าวต่อว่า “ผมสูญเสียความมั่นใจหรือไม่ ไม่เลย คุณต้องทบทวนอาชีพของคุณเสมอด้วยประสบการณ์ที่ดีและไม่ดี นั่นคือวิธีเดียวที่จะได้ความรู้เพิ่มเติมและปรับปรุงตัวเอง ผมไม่เสียใจกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม เพราะในที่สุดแล้วคุณจะต้องทำสิ่งต่าง ๆ ในแบบของคุณ”

ฆูเลน โลเปเตกี

การเริ่มต้นใหม่กับ เซบีย่า

รามอน โรดริเกซ แวร์เดโฆ ที่รู้จักโลกในนาม“มอนชี่” ผู้อำนวยการกีฬาชื่อดังของ เซบีย่า เป็นคนที่ทำให้ โลเปเตกี ได้กลับมามีเส้นทางที่ดีอีกครั้งหลังจากที่เขาเลือกให้ อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติสเปนเข้ามาทำงานในถิ่น รามอน ซานเชซ ปิฆวน ในซัมเมอร์ปี 2019

ขณะที่หลายคนตั้งคำถามเกี่ยวกับการแต่งตั้ง โลเปเตกี เข้ามาทำงานกับ เซบีย่า นั้น แต่สำหรับ มอนชี่ เขาก็มั่นใจโดยระบุว่า “เขาเป็นโค้ชที่ทำให้เรามั่นใจมากที่สุดสำหรับวัตถุประสงค์ที่เรามีในใจ ผมต้องเป็นคนแปลกเพราะสิ่งเดียวที่ผมเห็นคือ ผมจะชนะการเดิมพันครั้งนี้”

ในฤดูกาลแรกของ โลเปเตกี กับ เซบีย่า นั้น เขาพาทีมจบด้วยอันดับ 4 ได้ตั๋วไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยอดเยี่ยม จากนั้น ก็เอาชนะ อินเตอร์ มิลาน 3-2 ในรอบชิงชนะเลิศยูโรปา ลีก ปี 2020 พร้อมคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

อีกครั้งที่ มอนชี่ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สายตาของเขายังคงสุดยอด โดยปัจจุบัน เซบีญ่า รั้งอันดับ 2 ในลา ลีกา ตามหลัง  มาดริด 8 แต้ม และนำห่าง บาร์เซโลน่า 7 แต้ม ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์เลยหากนึกถึงทีมได้รับบาดเจ็บมากมายในฤดูกาลนี้ และโควิดก็ส่งผลกระทบอย่างมากเช่นกัน

โลเปเตกี กล่าวว่า “มันเป็นความจริงที่เรามีปัญหามากมายกับการบาดเจ็บในตำแหน่งสำคัญ และปัญหามากมายกับโควิด แต่เรามุ่งเน้นไปที่ความจำเป็นในการมองหาวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างออกไป”

“เรามักจะพยายามหาผู้เล่นที่สามารถปรับปรุงทีมของเราได้ เรามีปัญหาของเรา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราได้เอาชนะพวกเขาเป็นทีม สำหรับผมความแข็งแกร่งของทีมสำคัญกว่าของผู้เล่นคนใดหนึ่ง หรือเพียง 2-3 คน”

“เราไม่เคยมองไปนัก เป้าหมายของเราอยู่ที่เกมถัดไปเสมอ ในวงการฟุตบอลเป้าหมายเดียวที่คุณมีจริงๆ คือ เกมถัดไป นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอ ไม่ว่าจะเล่นในการแข่งขันใดมันยากเสมอด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน”

, , , , ,

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *