ไทม์ไลน์ความล้มเหลวของ บาร์ซ่า

ความล้มเหลวของ บาร์เซโลน่า สโมสรดังแห่ง ศึกลา ลีกา สเปน และ วงการฟุตบอลต่างประเทศ เกิดขึ้นมานานแล้วนับตั้งแต่ เนย์มาร์ ดาวยิงทีมชาติบราซิลย้ายออกไปเล่นกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เมื่อปี 2017 โดยพลพรรค “เจ้าบุญทุ่ม” ผิดพลาดจากการบริหารจัดการภายในทีม และการทำธุรกิจที่น่าผิดหวังมาตลอดหลายปี 

ในปัจจุบันขุมกำลัง บาร์เซโลน่า ภายใต้การนำของ โรนัลด์ คูมัน เทรนเนอร์ชาวดัตช์ ไม่แข็งแกร่งเหมือนกับช่วงที่ผ่านมาๆที่เคยครองเจ้ายุโรปอีกแล้ว และนี่คือเหตุกาณ์ต่างๆที่เป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้ บาร์ซ่า กลายเป็นทีมที่กำลังเจอช่วงวิกฤตอย่างหนัก

1. บาร์เซโลน่า สโมสรดังแห่ง สเปน คว้าตัว อุสมาน เดมเบเล่

ย้อนกลับไปในซัมเมอร์ปี 2017 มีการตัดสินใจที่น่าสงสัยเกิดขึ้นที่ คัมป์ นู หลังจาก เนย์มาร์ อำลาสโมสรไป ซึ่ง บาร์เซโลน่า ตัดสินใจคว้าตัว เดมเบเล่ จาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในราคาถึง 120 ล้านปอนด์ เพื่อเข้ามาเป็นตัวแทน

อย่างไรก็ตาม เดมเบเล่ ไม่สามารถทดแทน เนย์มาร์ ได้เลย เขาทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในสนาม มีปัญหาเรื่องระเบียบวินัย และโดนปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่เสมอ โดยดาวเตะชาวฝรั่งเศสดูเหมือนจะไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับมาเหมือนสมัยที่เล่นกับ ดอร์ทมุนด์ ได้อีกแล้ว

 ตลอด 4 ฤดูกาลกับ บาร์ซ่า นั้น เดมเบเล่ ลงเล่นไปรวมทุกรายการเพียง 118 เกม ซัดได้เดียง 30 ประตู ซี่งจะว่าไปแล้ว ปีกเฟรนช์แมน ถือเป็นการลุงมทุนที่น่าผิดหวังลำดับต้นๆของ “เจ้าบุญทุ่ม” เลยก็ว่าได้

2. คว้าตัว ฟิลิเป้ คูตินโญ่ มาจาก ลิเวอร์พูล

มันเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องหลังจาก เดมเบเล่ ได้รับบาดเจ็บยาว 4 เดือนในเกมที่ประเดิมสนามให้กับ บาร์ซ่า ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวทำให้แนวรุกพวกเขาต้องเจอปัญหาหนัก และสุดท้าย “เจ้าบุญทุ่ม” ก็รีบคว้าตัว คูตินโญ่ มาจาก ลิเวอร์พูล ในเดือนมกราคมปี 2018 ทั้งที่วางแผนจะซื้อกองกลางแซมบ้าในช่วงซัมเมอร์

บาร์เซโลน่า จ่ายเงินให้ ลิเวอร์พูล มากถึง 142 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตัวของ คูตินโญ่ โดยจอมทัพบราซิล ได้รับการคาดหมายว่า จะเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในเกมรุกของทีม แต่เขากลับฟอร์มตกอย่างไม่น่าเชื่อ และลืมฟอร์มเก่งที่เล่นกับ “หงส์แดง” ไปหมดแล้ว

หลังจากทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง คูตินโญ่ ก็ถูกปล่อยตัวให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ยืมตัวไปใช้งานในปี 2019-2020 ก่อนที่จะกลับมายังถิ่น คัมป์ นู อีกครั้ง และก็ยังโชว์ฟอร์มได้ไม่สม่ำเสมอนักจนถึง ณ เวลานี้ 

3. ขยายสัญญากับ ซามูเอล อุมติตี้ และซื้อนักเตะใหม่เกิน 100 ล้านปอนด์

ในซัมเมอร์ปี 2018 บาร์เซโลน่า ลงทุนมหาศาลอีกครั้งด้วยการขยายสัญญากับ อุมติตี้ ที่เพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกร่วมกับทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งนับจากตอนนั้นถึงปัจจุบันปราการหลังเฟรนช์แมนมีโอกาสลงเล่นไปรวมทุกรายการเพียง 49 เกมเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ในซัมมอร์ดังกล่าว บาร์เซโลน่า ยังทุ่มเงินมหาศาลคว้านักเตะอย่าง อาตูร์, อาร์ตูโร่ วิดัล, มัลค่อม, เกลมองต์ ลองเลต์ และ ฌอง-แคลร์ โตดิโบ เข้ามาเสริมทัพ ซึ่งหากพิจารณาแล้ว อาตูร์ เป็นการซื้อตัวที่คุ้มค่าที่สุด

4. คว้าตัว อองตวน กรีซมันน์ และ เฟรงค์กี้ เดอ ยอง

หลังจากโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดกับ แอตเลติโก มาดริด บาร์เซโลน่า ก็จ่ายเงินไปอีกราว 105 ล้านปอนด์ คว้าตัว กรีซมันน์ มาล่าตาข่ายในซัมเมอร์ปี 2019 บวกกับทุ่มเงินอีก 67 ล้านปอนด์ คว้า เดอ ยอง มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

ตลอด 2 ปี กับ บาร์เซโลน่า นั้น กรีซมันน์ ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งได้เลย และตอนนี้ก็ถูกปล่อยตัวกลับไปยัง แอตฯ มาดริด แล้ว ส่วน เดอ ยอง ก็ยังไม่สามารถยึดตัวจริงในแดนกลางได้เลย

5. สลับตัว อาตูร์ กับ มิราเล็ม ปานิช

เส้นทางอาชีพค้าแข้งของ อาตูร์ ในถิ่น คัมป์ นู ดูเหมือนจะไปได้สวย อย่างไรก็ตาม ในซัมเมอร์ปี 2020 มันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดหลังจาก บาร์เซโลน่า ปล่อยเขาย้ายไปยัง ยูเวนตุส และดึงตัว ปานิช ที่มีอายุมากกว่าถึง 6 ปี มาร่วมทีมแทน

นักวิจารณ์หลายคนมองว่า มันเป็นการทำธุรกิจที่น่าผิดหวังของ บาร์เซโลน่า และเป็นความคุ้มค่าสุดๆของ ยูเวนตุส โดย อาตูร์ กลายเป็นกำลังสำคัญของ “เจ้าม้าลาย” ทันที และมีอายุใช้งานอีกหลายปี ส่วน ปานิช ไม่สามารถยึดตัวจริงกับ บาร์ซ่า ได้เลย

6. บาร์เซโลน่า สโมสรดังแห่ง สเปน ปล่อยตัว ลิโอเนล เมสซี่

หลังจากการพูดคุยกันเป็นเวลานาน เมสซี่ ตกลงที่จะต่อสัญญาฉบับใหม่กับ บาร์เซโลน่า ออกไปแล้ว แต่ทางลา ลีกา ระบุว่า “เจ้าบุญทุ่ม” กำลังเจอสภาวะขาดทุน และติดกฎไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์ จึงทำให้ไม่ขยายสัญญากับดาวเตะอาร์เจนไตน์ได้สำเร็จ

เมื่อหมดหนทางจะรั้ง เมสซี่ เอาไว้ บาร์เซโลน่า ในสภาววะถังแตกก็ต้อมยอมปล่อยจอมทัพวัย 34 ปีย้ายไปเล่นกับ เปแอสเช แบบไร้ค่าตัวเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมาท่ามกลางความผิดหวังของสาวก “อาซูลกราน่า” ทั่วโลก