มาร์กอส ยอเรนเต้ ห้องเครื่องตัวเก่งของ แอตเลติโก มาดริด ทีมดังแห่งศึก ลา ลีกา สเปน เปิดเผยถึงการใช้ชีวิตประจำวันของเขาที่กินข้าวเพียงวันละ 2 มื้อ และมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งให้กับพลรรค “ตราหมี”
ในฤดูกาลนี้ มิดฟิลดีมทีมขาติสเปนวัย 27 ปี ลงเล่นให้กับ แอตฯ มาดริด ภายใต้การนำของ ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนติน่า ไปแล้วรวมทุกรายการ 33 เกม และยังเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมเข้าไปถึงรองรองชนะเลิศศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยส์ ลีก อีกด้วย
มาร์กอส ยอเรนเต้ กับแนวทางการใช้ชีวิต
ยอเรนเต้ กล่าวว่า “ผมไม่กินข้าวเช้า ผมกินอาหารกลางวันเวลา 14.00 น. อาหารเย็นเวลา 21.00 น. ผมกินเพียง 2 มื้อต่อวัน ผมฝึกซ้อมโดยไม่ได้กินอะไรเลย”
การทำงานร่วมกับ ซิเมโอเน่ และ โค้ชฟิตเนสผู้โด่งดังอย่าง ออสการ์ โปรเฟ ออร์เตก้า อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้มข้น และสำหรับ ยอเรนเต้ ที่กินอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใดสำหรับการฝึกซ้อม
“วันก่อนกลับมาจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังจากชัยชนะ 1-0 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เราทานอาหารเย็นที่นั่นหลังเกม และเราก็ขึ้นเครื่องบิน ผมกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเช้า เข้านอน ตื่นมาตอน 13.00 น. และไม่กินอะไรเลยจนกระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น นั่นคือ 24 ชั่วโมงโดยไม่กิน เพราะนั่นคือสิ่งที่ร่างกายของผมต้องการ”
“อาหารกลางวันเป็นอะไรที่ใหญ่กว่า อาหารเย็นจะเบากว่า ซุปผักหรือสลัด มันขึ้นอยู่กับว่าร่างกายของผมต้องการอะไร เพราะถ้าผมหิว ผมจะกิน”
ครอบครัวของ ยอเรนเต้ เป็นนักกีฬาทั้งหมด คุณปู่ คุณพ่อ คุณอา เล่นให้กับ เรอัล มาดริด และแม่ของเขาเป็นนักบาสเกตบอลทีมชาติสเปน โดยเมื่อตอนยังเด็กเขาก็เป็นนักเตะเยาวชนของ “ราชันชุดขาว” แต่ก็ไม่ได้รับโอกาสมากนักก่อนจะย้ายมาเล่นกับ แอตฯ มาดริด
“ตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมได้ทานอาหารที่ดีและนอนหลับได้ดี ผมได้พูดคุยกับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ และเมื่อพวกเขาเริ่มดูแลตัวเอง พวกเขาสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมาก เมื่อส 4 หรือ 5 ปีที่แล้ว พวกเขาคิดว่ามันแปลก แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็รู้ว่ามันคุ้มค่า ทุกวันนี้นักฟุตบอลจำนวนมากดูแลตัวเอง” กองกลาง “ตราหมี” กล่าว
ในช่วงที่ย้ายจาก มาดริด ไปเล่นด้วยสัญญายืมตัวกับ อลาเบส ปี 2016-2017 ยอเรนเต้ ทำผลงานโดดเด่นอย่างมากในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับ แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากลับไปแย่งตำแหน่งของ คาเซมิโล่ ดาวเตะแซมบ้าได้
การตัดสินใจครั้งสำคัญ และเป้าหมายในอนาคต
อย่างไรก็ตาม อีก 2 ปีต่อมา ยอเรนเต้ ก็ย้ายจาก มาดริด ข้ามฟากมากเล่นกับ แอตฯ มาดริด ด้วยค่าตัวที่ 40 ล้านยูโร และเกมที่เปลี่ยนทุกอย่างของเขาคือ การพาทีมบุกไปเอาชนะ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในปี 2020 ซึ่งเขาเป็นซัดประตูด้วย
ซิเมโอเน่ กล่าวว่า “มาร์กอส ไม่เคยจินตนาการว่าตัวเองสามารถเล่นเป็นกองหน้าได้ แต่การดูเขาฝึกซ้อม ความสามารถด้านเทคนิค และทางกายภาพ และการยิงของเขาทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น เมื่อผู้เล่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีศักยภาพ โค้ชก็ต้องให้ความสนใจ”
ในฤดูกาล 2020-21 ยอเรนเต้ ทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการซัดไปถึง 12 ประตู พร้อมกับพา แอตฯ มาดริด คว้าแชมป์ลา ลีกา ได้สำเร็จ และตอนนี้ในวัย 27 ปี ซึ่งกำลังจะเข้าสู่จุดพีคของนักฟุตบอลนั้น เขาก็ยังคงพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตั้งเป้าหมายในอนาคตด้วย
“อาชีพนักฟุตบอล ขึ้นอยู่กับว่าคุณโชคดีแค่ไหนกับอาการบาดเจ็บ และมันจะจบลงไม่ช้าก็เร็ว เมื่ออายุ 35 ปี ที่ 37 ปี อาชีพมันจบลงแล้ว คุณต้องมองหาแหล่งรายได้อื่น แต่ที่สำคัญกว่านั้น แหล่งความบันเทิง แหล่งงาน หากคุณสูญเสียเป้าหมาย คุณจะสูญเสียวิถีชีวิต นักฟุตบอล และนักกีฬาบางคนตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเมื่อเกษียณอายุเพราะพวกเขา ไม่มีเป้าหมายอีกต่อไป ไม่มีความฝันอีกต่อไป” อดีตแข้ง มาดริด กล่าว
ปัจจุบัน ยอเรนเต้ เปิดร้านอาหารที่ มาดริด ซึ่งเป็นเมนูที่เต็มไปด้วยอาหารปราศจากกลูเตน น้ำตาล และสารเติมแต่ง และเป็นหนึ่งในหลายธุรกิจที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด โดยเจ้าตัวเล่าวว่า “คุณต้องแยกสิ่งที่ ‘พอดี’ ออกจากสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ”
“บอยครั้งสิ่งที่ พอดี มันไม่ดีต่อสุขภาพ เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้คุณอ้วน แคลอรี่มีไม่มาก ผู้คนใส่ส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพมากมาย พวกเขาคิดว่าการกินเพื่อสุขภาพหมายถึงการกินสลัดหรืออะไรน่าเบื่อๆ หน่อย มันไม่ใช่แบบนั้น คุณสามารถกินพิซซ่าเพื่อสุขภาพหรือวาฟเฟิลเพื่อสุขภาพ ได้ ผมมีแหล่งคาร์โบไฮเดรต แหล่งโปรตีน ผัก ผมรู้แล้วว่าต้องกินอะไร”
นอกจากนี้ ยอเรนเต้ ยังให้ความสำคัญกับการนอนหลับอย่างมาก โดยเล่าว่า “ผมนอน 8½ หรือ 9 ชั่วโมงต่อคืน ผมเข้านอนเร็วมาก การนอนตั้งแต่ 24.00 น. ถึง 8.00 น. ไม่เหมือนนอนตั้งแต่ตี 4 ถึง 12.00 น. การนอนเมื่อดวงอาทิตย์ตก และตื่นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นคือพื้นฐาน”
ขณะเดียวัน ยอเรนเต้ กล่าวทิ้งท้ายถึงเกมสำคัญที่บุกไปเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่บ้านด้วยว่า “มันสำคัญมาก ยิ่งกว่านั้นที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด มันเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์นั้น มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทีมที่จะผ่านไปได้ มันทำให้เราแข็งแกร่งสำหรับเกมต่อไป เรารู้ว่ามันจะยาก แต่ทีมเชื่อว่าอย่างน้อยเราจะทำได้”